ท่องเที่ยวจังหวัดสิงห์บุรี
คำขวัญประจำจังหวัดสิงห์บุรี
ถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนปลาแม่ลา ย่านการค้าภาคกลาง
จังหวัดสิงห์บุรีตั้งอยู่ในเขตภาคกลางตอนบน
ริมฝั่งด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร
เป็นเมืองหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
โดดเด่นและยิ่งใหญ่ด้วยเรื่องราววีรกรรมการสู้รบของชาวบ้านบางระจัน
แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ
จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศาสนาจังหวัดสิงห์บุรีมีเนื้อที่ประมาณ 822.478 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 514,049 ไร่ จัดเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 73 ของประเทศไทย ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มและพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้น ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนริมแม่น้ำจำนวนมากเป็นเวลานาน ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะแก่การทำกสิกรรม มีแม่น้ำสำคัญไหลผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และแม่น้ำลพบุรี นอกจากนี้ยังมีลำน้ำสายอื่นๆ คือ ลำแม่ลา ลำการ้อง ลำเชียงราก และลำโพธิ์ชัยสันนิษฐานว่าสิงห์บุรีสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1650 โดยพระเจ้าไกรสรราช โอรสของพระเจ้าพรหม หรือพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏก ผู้ครองเมืองชัยปราการ เมื่อครั้งเสด็จพาไพร่พลมาครองเมืองลพบุรีตามรับสั่งพระราชบิดา ได้ทรงล่องเรือมาตามแม่น้ำ แล้วแวะพักขึ้นบก ณ จุดที่เป็นที่ตั้งเมืองสิงห์บุรีเดิม คือ บริเวณริมฝั่งลำน้ำจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสิงห์บุรี ในปัจจุบันเมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราวปี พ.ศ. 2437 ได้มีการจัดรูปแบบการปกครองเมืองระบอบมณฑลเทศาภิบาลใหม่ จึงได้มีการจัดตั้งมณฑลกรุงเก่า (มณฑลอยุธยา) ขึ้น ประกอบด้วยเมือง 8 เมือง คือ กรุงเก่าพระพุทธบาท พรหมบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และอินทร์บุรี ต่อมาในราวปี พ.ศ. 2438 เมืองสิงห์บุรีถูกจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัด และมีการยุบเมืองพรหมบุรีและเมืองอินทร์บุรีลงเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมกับตั้งเมืองสิงห์บุรีขึ้นใหม่ที่ตำบลบางพุทรา ส่วนเมืองสิงห์บุรีเดิมยุบเป็นอำเภอสิงห์ และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางระจัน จนถึงปัจจุบันเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ทำให้จังหวัดสิงห์บุรีเป็น ที่รู้จักมากยิ่งขึ้น คือ วีกรรมของชาวบ้านบางระจัน เมื่อครั้งที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 หรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จนต้องสูญเสียเอกราชไปในปี พ.ศ. 2310 ในครั้งนั้น ชาวบ้านบางระจันสามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพพม่าที่เดินทัพผ่านมาถึงบ้าน บางระจันได้อย่างหาญกล้า เป็นเวลานานถึง 5 เดือน โดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกรุงศรีอยุธยาเลย จึงนับเป็นวีรกรรมอันน่ายกย่องเชิดชูครั้งหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน ทางจังหวัดสิงห์บุรีได้ตั้งชื่อถนนต่างๆ ในตัวเมืองตามชื่อของวีรชนบ้านบางระจัน เช่น ถนนนายแท่น ถนนนายดอก ถนนนายอิน ถนนนายเมือง และถนนขุนสรรค์ เป็นต้น เพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าวีรชนชาวบ้านบางระจันในอดีตปัจจุบันจังหวัด สิงห์บุรีแบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภอบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน อำเภอพรหมบุรี อำเภอท่าช้าง และอำเภออินทร์บุรี
อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน
ประวัติวีรกรรมชาวบ้านบางระจัน
ณ สถานที่นี้ประมาณ 240 ปีเศษมาแล้ว ชาวบ้านบางระจันได้ประกอบวีรกรรมพลีชีวิต ต่อสู้กับกองทัพพม่า ข้าศึกที่รุกราน เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยเป็นมรดก ตกทอดมาถึงทุกวันนี้
ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงแก่พม่า กองทัพพม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยมี เนเมียวสีหบดี
เป็นแม่ทัพ ได้ให้กองทัพทหารพม่าไปปล้นทรัพย์ และ จับชาวบ้านเมืองวิเศษชัยชาญ พวกชาวบ้านพากัน
โกรธ จึงคิดแก้แค้น ผู้นำชาวบ้านซึ่งมีนายดอก นายทองแก้ว ได้ลวงทหารพม่าไปฆ่าเสียหลายนาย
แล้วพากันมายังหมู่บ้านบางระจันสมทบกับชาวบ้านบางระจันซึ่งมี นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง
นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ ขุนสรรค์ พันเรือง เป็นผู้นำได้รวบรวมกำลังชายฉกรรจ์
กว่า 400 คนมาตั้งค่ายขึ้น ณ บ้านบางระจัน เพื่อต่อสู้กับกองทัพพม่าและได้นิมนต์ พระอาจารย์ธรรมโชติ
ผู้เรืองวิทยาคม มาเป็นขวัญกำลังใจ ให้กับชาวบ้านบางระจัน
เมื่อกองทัพพม่า รู้เรื่องคายบางระจัน ก็จัดกองทัพมาปราบแต่ก็แตกพ่ายไปถึง 7 ครั้ง ชาวบ้านบางระจัน
ซึ่งกำลังคนและอาวุธน้อยกว่า ได้ต่อสู้กับกองทัพพม่าที่มีกำลังพลและอาวุธเหนือกว่าจนเสียชีวิตทั้งหมด
ในค่ายบางระจันแห่งนี้ ค่ายบางระจันเสียแก่พม่า เมื่อวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปี 2309 ถึงกระนั้นทัพพม่า
ก็ต้องใช้เวลาตีค่ายบางระจันนานถึง 5 เดือนเศษ
เกิดมาใครไม่ม้วย มีไฉน
บางระจันม้วยสม ศักดิ์ม้วย
ม้วยด้วยเกีนรติเกรียงไกร เกริ่นเกริก
ออมยศยอมม้วยด้วย ค่าแพง
ขอขอบคุณข้อมูลจากวัดวัดโพธิ์เก้าต้น
เดินชมธรรมชาติร่มรื่นสวนป่าในวัด
ทำบุญให้อาหารปลาในแม่น้ำ ณ อุทยานปลาวัดโพธิ์เก้าต้น
และที่ขาดไม่ได้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คือ
วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติซึ่งเป็นที่ชาวบ้านหลายๆคนในจังหวัดสิงห์บุรีและ
จังหวัดใกล้เคียงมาสักการะบูชาขอพรกันอยู่ ไม่ขาดสาย
และนี่คืออีกกิจกรรมหนึ่งที่ชาวบ้านบางระจันและอีกหลายๆคนในจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียงมาทำกันหลังจากที่ได้บนบานสานกล่าวขอพรจากพระอาจารย์ธรรมโชติแล้วได้สิ่งที่ขอสมตามความปรารถนาที่่ขอไว้จึงได้เชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายมาช่วยกันตักน้ำเติมลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หน้าพระวิหารของพระอาจารย์ธรรมโชติ
สิงห์บุรีขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองน่าอยู่อีกเมืองหนึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายและสถานที่ประวัติศาสตร์ที่น่าท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่ง
0 ความคิดเห็น: