วัดร่องขุ่น

วัดร่องขุ่นจะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย 13 ก.ม. ตรงหลัก ก.ม. ที่ 816 ถนนพลหลโยธิน (หมายเลข 1 / A2 ) เลี้ยวเข้าไปประมาณ 100 เมตร จะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ ตลอดทาง ที่จอดรถด้านหลังและด้านหน้าวัดอีกฝั่งของถนนกว้างขวาง สะดวกสบาย more »

Unique solutions

If you want promote your business, then you have come to the right place. more »

ดอยอินทนนท์

ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ more »

เที่ยวตลาดน้ำอโยธยา

เขียนโดย wara989

           ตลาดน้ำอโยธยา แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เป็น บนเนื้อที่ 60 ไร่ ตั้งอยู่ที่เดียวกับปางช้างอโยธยาข้าง วัดมเหยงคณ์ จะเรียกได้ว่าเป็นตลาดน้ำที่ยิงใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ แวดล้อมไป ด้วยธรรมชาติ แบบไทยพื้นบ้านและสายน้ำ จัดแบ่งเป็นโซนๆ ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน ประกอบ ด้วยเรือสินค้า ขายอาหาร 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทกว่าอีก 40 ร้าน และร้านค้าต่างๆ อีก 159 ร้าน มีสะพานเดิน ริมแม่น้ำเพื่อ เลือกซื้อสินค้าจากกลุ่มชาวบ้านต่างอำเภอ หรือสินค้า OTOP มากมายหลากหลายชนิด


ภาย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpuf
ท่านที่มาเที่ยวตลาดน้ำอโยธยาสามารถมาเสริมบุญบารมีโดยมาสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุได้ที่ตลาดอโยเดียนะครับ


 


 


 



าย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpu



       สนุกกับการขี่ช้างเดินเที่ยวรอบตลาดน้ำ


      กับอีกกิจกรรมหนึ่งคือการให้นมแพะที่มีรองรับนักท่องเทียวทั่วทุกมุมตลาดน้ำ





ภาย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpuf
           ตลาดน้ำอโยธยา แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เป็น บนเนื้อที่ 60 ไร่ ตั้งอยู่ที่เดียวกับปางช้างอโยธยาข้าง วัดมเหยงคณ์ จะเรียกได้ว่าเป็นตลาดน้ำที่ยิงใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ แวดล้อมไป ด้วยธรรมชาติ แบบไทยพื้นบ้านและสายน้ำ จัดแบ่งเป็นโซนๆ ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน ประกอบ ด้วยเรือสินค้า ขายอาหาร 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทกว่าอีก 40 ร้าน และร้านค้าต่างๆ อีก 159 ร้าน มีสะพานเดิน ริมแม่น้ำเพื่อ เลือกซื้อสินค้าจากกลุ่มชาวบ้านต่างอำเภอ หรือสินค้า OTOP มากมายหลากหลายชนิด


ภาย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpuf
ท่านที่มาตลาดน้ำท่านยังสามารถแวะมาเสริมบุญบารมีได้โดยมาสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุได้นะครับ


าย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpuf



       สนุกกับการขี่ช้างเดินเที่ยวรอบตลาดน้ำ


      กับอีกกิจกรรมหนึ่งคือการให้นมแพะที่มีรองรับนักท่องเทียวทั่วทุกมุมตลาดน้ำ





ภาย ในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆ สระ ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมาย สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ แถมราคายังสบายกระเป๋าอีกด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของการมาเดินตลาดก็คือ การชิม! บอกตรงๆ ว่าชิมกันไม่หมดจริงๆ เพราะด้านในมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง, ส้มตำ,  ขนมจีน, ก๋วยเตี๋ยว, ห่อหมก, อาหารทะเล, หมูสะเต๊ะนมสด, หมูย่าง, โรตีสายไหม, ขนมตาล, ขนมถ้วย, กล้วยปิ้ง, ทับทิมกรอบ, ไอศกรีม, ชา, กาแฟ, น้ำตาลสด ฯลฯ ให้สาธยายกันทั้งวันก็คงไม่หมด ซึ่งบางร้านก็ตั้งขายอยู่ในโซนอาหาร บางร้านก็ขายอยู่บนเรือที่จอดคอยท่าอยู่ริมน้ำ ใครจะนั่งสบายๆ ในโซนอาหารหรือจะนั่งชิวๆ ริมน้ำก็ได้ทั้งนั้น - See more at: http://www.thaiticketmajor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-2075.html#sthash.1SeNoQNa.dpuf






















































more »

ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

เขียนโดย wara989

ประวัติจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ภาคเหนือของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพฯ 785 ก.ม. มีเนื้อที่ประมาณ 11,678.369 ตร.ก.ม. หรือประมาณ 7,298,981 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้

ทิศเหนือ ติดต่อกับ ประเทศสหภาพพม่า และประเทศสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดลำปาง และจังหวัดพะเยา
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจังหวัดพะเยา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศสหภาพพม่า และจังหวัดเชียงใหม่  



          เมื่อพญามังรายได้ทรงรวบรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือในอาณาเขตรอบ ๆ ได้แล้ว จึงทรงกรีฑาทัพไปแสดงฝีมือในการยุทธต่อหัวเมืองฝ่ายใต้ลงมา จึงได้ไปรวมพล ณ เมืองลาวกู่เต้า และหมอควาญได้นำช้างมงคลของพญามังรายไปทอด (ผูก) ไว้ในป่าหัวดอยทิศตะวันออกพลัดหายไป พญามังราย จึงได้เสด็จติดตามรอยช้างไปจนถึงดอยทองริมแม่น้ำกกนัทธี ได้ทัศนาการเห็นภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม อุดมสมบูรณ์เป็นชัยภูมิที่ดี จึงได้สร้างเมืองใหม่ ขึ้นในที่นั่น ให้ก่อปราการโอบเอาดอยจอมทองไว้ในท่ามกลางเมือง ขนานนามเมืองว่า “เวียงเชียงราย” ตามพระนามของพญามังรายผู้สร้าง เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ดังนั้น จึงได้นำรูปช้างสีขาวใต้เมฆแห่งความรุ่งเรือง และอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นสีม่วงของ วันเสาร์ซึ่งตรงกับวันประสูติของพญาเม็งราย เป็นสีประจำจังหวัด

คำขวัญของจังหวัดเชียงราย

“เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน
ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง”







              วัดร่องขุ่น เป็นวัดที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินของจังหวัดเชียงราย เพื่อมุ่งสร้างงานพุทธศิลป์ที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองและประกาศความยิ่งใหญ่ต่อคนทั้งโลกเพื่อถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในนาม "White Temple" ระยะเวลาในการสร้างนั้นไม่มีกำหนดจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งได้วางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วทั้งลูกศิษย์ที่สานต่อและทุนทรัพย์ ประชาชนคนไทยต้องหาโอกาสสักครั้งเพื่อมาชมวัดร่องขุ่น งานพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ให้ได้




กลางคืนเดินเที่ยวตลาดไนท์พลาซ่า เชียงราย เดินช็อปสินค้าพื้นเมืองมากมายตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย เป็นที่จำหน่าย
ของที่ระลึกฝีมือชาวเขา และชาวเชียงราย ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋าหลากแบบ ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ผ้าม่าน ผ้าปักฝีมือชาวเขาที่นำมาจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงนัก
              มีการจำหน่ายของตกแต่งบ้านที่ทำจากไม้ สินค้าหัตถกรรม (หรือสินค้าทำมือ) ต่างๆ เช่น ไม้แกะสลัก ภาพวาด ตุ๊กตาประดิษฐ์ ฯลฯ และยังมีร้านอาหารบริการนักท่องเที่ยวพร้อมชมการแสดงซึ่งจัดอยู่ 2 เวที คือบริเวณลานกลางเวียง เป็นเวทีสำหรับการแสดงของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย มีการแสดง รำไทย และสะล้อ ซอ ซึง ซึ่งเป็นการแสดงดนตรีพื้นบ้าน เป็นการอนุรักษ์ศิลปะแบบล้านนาเอาไว้ด้วยครับ
          ส่วนเวทีอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณลานเบียร์ ซึ่ง เป็นลานกว้างไว้สำหรับนั่งดื่มเบียร์เย็นๆ กับอาหารอันเลิศรสหลากหลายเมนูพร้อมชมการแสดง จะมีการแสดงคาบาเร่โชว์ โฟล์คซอง และการแสดงของชาวเขา ซึ่งการแสดงเหล่านี้จะสลับวันแสดง
สำหรับการบริการอาหาร มีหลากหลายเมนู ให้เลือกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นเมือง อาหารไทย หรืออาหารฝรั่ง แถมอาหารทะเลก็มีนะครับ
ที่เชียงรายไนท์บาซ่าร์ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสินค้าจากการทำด้วยมือ หรือ Handmade ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเป็นการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากฝีมือ และภูมิปัญญาของชาวเชียงรายเราด้วยครับ














           องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ จังหวัดเชียงราย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2013( ครั้งที่ 2) ” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2557  รวม 17 วัน 17 คืน ณ สวนไม้งามริมกก อำเภอเมืองเชียงราย ใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
more »

ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

เขียนโดย wara989

ประวัติความเป็นมาของเชียงใหม่


เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในตำนานแรก ๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำ นานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึงลัวะว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา   ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวี วงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะว่าเป็นคนเกิดในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ลัวะถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนาน รุ่นหลังอย่าง ตำนานสุวรรณคำแดงหรือตำนานเสาอินทขิล    เล่าว่าลัวะเป็นผู้สร้างเวียง เจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรีหรือเชียงใหม่ ลัวะจึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรกที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้าที่ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วแต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
            ในขณะเดียวกันที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองกล่าวว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ. 1310-1311 ครั้งนั้นพระนางได้พาบริวารข้าราชบริพารที่เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการต่างๆขึ้นมาด้วย หริภุญไชย จึงได้รับเอาพุทฑศาสนาและศิลปวัฒนธรรมละโว้มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่
     จวบจน ประมาณปี พ.ศ. 1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยางซึ่งได้แผ่อำนาจครอบลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการซ่องสุมไพร่พลเพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชยเป็นเมืองศูนย์กลาง ความเจริญและเป็นชุมทางการค้า พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ. 1837 ก่อนจะย้ามาสร้างเวียงเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ร่วมกันสถาปนา "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น
     พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม มีการตรากฎหมายที่เรียกว่า “มังรายศาสตร์” รวมถึงรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุในล้านนาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนาได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวางพร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เองที่ได้มีการสัยคายนาพระไตรปิฏขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
     อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายสมัยพญาเมืองแก้ว เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุงพ่อยแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมากประกอบกับเกิดอุทกภัย กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ. 2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
     ต่อมาในปี พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นครองเมืองในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่น ๆ ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
     ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้าเป้นมณฑลพายัพ แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้าอินทวชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
     เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ขยายตัวยิ่งขึ้นและใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิกเชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

      

   รับอากาศหนาวที่ดอยอินทนนท์จังหวัดเชียงใหม่อุณหภูมิช่วงเช้าที่ 7 องศาเซลเซียสหนาวมากๆ
มีนักท่องเที่ยวมารับบรรยากาศหนาวกันเต็มลานกางเต้นเลยทีเดียว

more »

เที่ยวงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก

เขียนโดย wara989
เชิญร่วมงาน ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ประจำปี 2556
ระหว่างวันที่ 13 - 22 ธันวาคม 2556





     นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแสดงเท่านั้นใครอยากดูเต็มๆจะประทับใจมากกว่านี้ยังมีเวลาอยู่เชิญไปเที่ยวชมได้นะครับ  ขอบอกว่าจัดเต็มจิงๆ
more »

ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เขียนโดย wara989

ประวัติความเป็นมาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

                   จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอดีตราชธานีของไทยมีหลักฐานของการ
เป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะตำนานพงศาวดาร ไปจนถึงหลักศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด ซึ่งเมืองอโยธยาหรืออโยธยาศรีรามเทพนคร หรือเมืองพระราม มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา มีบ้านเมืองที่มีความเจริญทางการเมือง การปกครอง และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง มีการใช้กฎหมายในการปกครองบ้านเมือง 3 ฉบับ คือ   พระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ    พระอัยการลักษณะทาส   พระอัยการลักษณะกู้หนี้

         สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อ
พ.ศ. 1893 กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของประเทศสยามสืบต่อยาวนานถึง 417 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ  ราชวงศ์อู่ทอง   ราชวงศ์สุพรรณภูมิ    ราชวงศ์สุโขทัย    ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์บ้านพลูหลวง  กรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชให้แก่พม่า  2  ครั้ง   ครั้งแรกใน  พ.ศ. 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้เอกราชคืนมาได้ใน พ.ศ.2127 และเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชได้ในปลายปีเดียวกัน แล้วทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่กวาดต้อนผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาไปยังกรุงธนบุรีเพื่อสร้างบ้านเมืองแห่งใหม่ให้มั่นคง แต่กรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้กลายเป็นเมืองร้างยังมีคนที่รักถิ่นฐานบ้านเดิมอาศัยอยู่ และมีราษฎรที่หลบหนีไปอยู่ตามป่ากลับเข้ามาอาศัยอยู่รอบ ๆ เมือง รวมกันเข้าเป็นเมืองจนทางการยกเป็นเมืองจัตวาเรียกว่า  "เมืองกรุงเก่า"
       
         พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงยกเมืองกรุงเก่าขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวาเช่นเดียวกับสมัยกรุงธนบุรี หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยการปกครองส่วนภูมิภาคนั้นโปรดให้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้นโดยให้รวมเมืองที่ใกล้เคียงกัน 3 - 4 เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. 2438 ทรงโปรดให้จัดตั้งมณฑลกรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ
คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา  อ่างทอง  สระบุรี  ลพบุรี  พรหมบุรี  อินทร์บุรี และสิงห์บุรี ต่อมาโปรดให้รวมเมืองอินทร์ และเมืองพรหมเข้ากับเมืองสิงห์บุรี  ตั้งที่ว่าการมณฑลที่อยุธยา และต่อมาในปี พ.ศ. 2469 เปลี่ยนชื่อจากมณฑลกรุงเก่าเป็นมณฑลอยุธยา ซึ่งจากการจัดตั้งมณฑลอยุธยามีผลให้อยุธยามีความสำคัญทางการบริหาร การปกครองมากขึ้นการสร้างสิ่งสาธารณูปโภคหลายอย่างมีผลต่อการพัฒนาเมืองอยุธยาในเวลาต่อมา จนเมื่อยกเลิกการปกครองระบบเทศาภิบาล ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อยุธยาจึงเปลี่ยนฐานะเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จนถึงปัจจุบัน


more »

ท่องเที่ยวจังหวัดลพบุรี

เขียนโดย wara989

 จังหวัดลพบุรี

http://แหล่งท่อง.blogspot.com/2013/12/blog-post_10.html

               ลพบุรี เป็นเมืองที่มีแห่งความหลากหลาย และต่อเนื่องของความเจริญทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์   มีหลักฐานสำคัญแสดงถึงความเจริญ ดังกล่าว ได้แก่                  

                - การขุดพบโครงกระดูกมนุษย์พร้อมภาชนะดินเผา  ที่แหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค  อายุระหว่าง 3,500-4,500  ปี
                - การขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่  ที่บ้านโคกเจริญ  อายุระหว่าง 2,700-3,500  ปี
                - การขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคสำริด  ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่  อายุระหว่าง 2,300 - 2,700 ปี
                - การขุดพบชุมชนโบราณในสมัยทวารวดี  ที่เมืองโบราณซับจำปา อ.ท่าหลวง  เมืองโบราณดงมะรุม อ.โคกสำโรง  เมืองใหม่ไพศาลี  ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 1,000 ปี
                - การพบหลักฐานที่เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ เช่น เหรียญทำด้วยเงิน มีลายดุนเป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ตามคตินิยมของที่ต.หลุมข้าว  อ.โคกสำโรง
  การพบหลักฐานต่างๆ เหล่านี้ แสดงว่า  ลพบุรี  เป็นที่ตั้งของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ในส่วนของการ สร้างเมืองลพบุรีนั้น  ตามประวัติศาสตร์ในพงศาวดารโยนก  กล่าวว่า  ผู้สร้างเมืองลพบุรีหรือที่เรียกว่า "ละโว้" ในสมัยโบราณ คือ "พระเจ้ากาฬวรรณดิษ" ราชโอรสแห่งพระเจ้ากรุงขอม  ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.1002 และเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ ่สมัยทวารวดีเคยอยู่ใต้อำนาจของมอญและขอม  จนกระทั่งในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ คนไทยเริ่มมีอำนาจในดินแดนแถบนี้  ในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทอง  ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา  ลพบุรีดำรงฐานะเป็นเมืองลูกหลวง  กล่าวคือ  พระเจ้าอู่ทองได้โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จมาครองเมืองลพบุรี  ซึ่งพระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม คูเมืองและสร้างกำแพงเมืองอย่างมั่นคง เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคตในปีพ.ศ.1912  พระราเมศวรได้ถวายราชบัลลังค์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์  ซึ่งได้ครองราชย์ พระนามว่า  พระบรมราชาธิราชที่ 1  ส่วนพระ ราเมศวรยังคงครองเมืองลพบุรีต่อไปจนถึง พ.ศ.1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 สวรรคต พระราเมศวรจึงขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยา

            หลังจากนั้น  เมืองลพบุรีได้ลดความสำคัญลง  จนกระทั่งถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เมืองลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้สืบเนื่องจากการคุกคามของชนชาติฮอลันดาที่ติดต่อ  ค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา  สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาไม่ปลอดภัยจากการปิดล้อมและระดมยิงของข้าศึกยามเกิดศึกสงคราม  จึงได้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ขึ้น  เพราะเมืองลพบุรีมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เหมาะสมซึ่งในการสร้างเมืองลพบุรีนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับความช่วยเหลือจากช่างชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน  ได้สร้างพระราชวังที่มีป้อมปราการเป็นแนวป้องกันอย่างมั่นคง  ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดประทับที่เมืองลพบุรี  ตามหลักฐานปรากฏว่า  พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี ปีละ 8-9 เดือน  โปรดให้ทูตและชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าที่เมืองลพบุรีหลายครั้ง

             เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคต ในปี พ.ศ.2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์  เมืองลพบุรีก็หมดความสำคัญลง  สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรี    อยุธยา  และในสมัยต่อมาก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเสร็จมาประทับที่เมืองลพบุรีอีก จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้บูรณะเมืองลพบุรีขึ้นมาอีกครั้งในปีพ.ศ.2406  มีการซ่อมกำแพงเมือง ป้อมและประตู  รวมทั้งมีการสร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฎในพระราชวัง  พร้อมทั้งพระราชทานนามพระราชวังว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

            ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้งสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี  ได้มีการวางผังเมืองใหม่และตั้งหน่วยทหารขึ้นมาในเมืองลพบุรี  ลพบุรีจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองทหารเพราะมีหน่วยทหารตั้งอยู่ถึง 11 หน่วย  ลพบุรีในปัจจุบันจึงเป็น "เมืองเศรษฐกิจ  เมืองท่องเที่ยวและเมืองทหาร"
อีกสถานทีหนึ่งในจังหวัดลพบุรีที่น่าท่องเที่ยวหลายๆคนเคยไปแล้วและอีกหลายๆคนไม่เคยไปผมขอแนะนำ
                     เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  เป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงดำริให้สร้างเขื่อนเพื่อเก็บกักน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และถือว่า เป็นเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์"  เนื่องจากทรงเห็นว่าราษฎรในพื้นที่มักจะประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วง หน้าแล้ง การสร้างเขื่อนจึงช่วยในเรื่องของการเพาะปลูกและบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่เกิด ขึ้นประจำในลุ่มน้ำป่าสัก ใช้ระยะเวลาการสร้างทั้งสิ้น 5 ปีและพระองค์ยังได้ทรงพระกรุณาพระราชทานนามเขื่อนนี้ว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" อันหมายถึง "เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ" และเสด็จทรงเปิดเขื่อนฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 ที่ตั้ง บ้านแก่งเสือเต้น  ตำบลหนองบัว  อำเภอพัฒนานิคม  จังหวัดลพบุรี วันนี้ YingeXtreme จะขอพาเพื่อนๆไปชมความงดงามของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในแบบฉบับPickp Extreme คือแบบธรรมดาๆคงจะดูไม่ถูกใจกันเป็นแน่แท้งั้นไปชมกันดีกว่าว่าหญิงจะพา เที่ยวแบบไหนกัน..สำหรับเส้นทางแรกที่จะพาไปชมขอนำเสนอทางภาคพื้นดินก่อนก็ แล้วกันนะคะ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีชื่อเสียงในความงดงามของเส้นทางรถไฟผ่ากลางตัวเขื่อน

ท่องเที่ยวไปกับขบวนรถไฟวิ่งบนสันเขื่อนอีกหนึ่งบริการที่ทางเขื่อนมีให้แต่เสียตังค์นะครับราคาย่อมเยาว์  เด็ก 10 ฿  ผู้ใหญ่ 25฿   อุดหนุนบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวกันครับ




                และแวะเที่ยวชมทุ่งทานตะวันบริเวณใกล้ทางเข้าเขื่อนกันนะครับไปเที่ยวครั้งนี้สุดคุ้มครับได้รับบรรยากาศถึง 2 ที่เชิญทุกท่านไปท่องเที่ยวกันนะครับช่วงที่น่าไปจะเป็นช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมครับจะได้บรรยากาศสวยๆกับทุ่งทานตะวัน 





more »